3 การวัดปริมาณสาร

ในปฏิบัติการเคมีจำเป็นต้องมีการชั่ง ตวง และวัดปริมาณสารซึ่งการชั่ง ตวง วัดมีความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากอุปกรณ์ ที่ใช้หรือผู้ทำปฏิบัติการที่จะส่งผลให้ผลการทดลองที่ได้มีความมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าจริง ความน่าเชื่อถือของข้อมูลสามารถพิจารณาได้ 2 ส่วนด้วยกันคือความเที่ยง และความแม่นของข้อมูลโดยความเที่ยงคือ ความใกล้เคียงของข้าวที่ได้จากการวัดส่วนความแม่นคือความใกล้เคียงของค่าเฉลี่ยจากการวัดซ้ำเทียบกับค่าจริง
1.3.1 อุปกรณ์วัดปริมาตร อุปกรณ์วัดปริมาณสารเคมีที่เป็นของเหลวที่ใช้ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีขีดและตัวเลขแสดงปริมาตรที่ได้จากการตรวจสอบมาตรฐานและกำหนดความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้บางชนิดมีความคลาดเคลื่อนน้อย บางชนิดมีความคาดเคลื่อนมาก ปริมาตรและระดับความหน้าที่ต้องการอุปกรณ์วัดปริมาตรบางชนิดที่นักเรียนได้ใช้ในงานในการทำปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา เช่นบีกเกอร์ ขวดรูปกรวยกระบอกตวงเป็นอุปกรณ์ที่ไม่สามารถบอกปริมาตรได้แม่นมากพอสำหรับการทดลองในการปฏิบัติการบางการปฏิบัติการ
- บีกเกอร์ มีลักษณะเป็นทรงกระบอกปากว่ามีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตร



- ขวดรูปกรวย มีลักษณะคล้ายขนชมพู่มีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตร มีหลายขนาด มีหลายขนาด

- กระบอกตวง มีลักษณะเป็นทรงกระบอกมีขีดบอกปริมาตรในระดับ มิลลิลิตร มีหลายขนาด

นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่สามารถวัดปริมาตรของของเหลวได้มากกว่าอุปกรณ์ ข้างต้น เช่น
- ปิเปตต์ เป็นอุปกรณ์วัดปริมาตรที่มีความแม่นยำสูง ใช้สำหรับถ่ายเทของเหลว มี 2 แบบแบบปริมาตรที่มีกระเปาะตรงกลางมีขีดบอกปริมาตร เพียงค่ายเดียวและแบบใช้ตวงมีขีดบอกปริมาตรหลายค่า


- บิวเรตต์ เป็นอุปกรณ์สำหรับถ่ายเทของเหลวในปริมาตรต่างๆตามต้องการ มีลักษณะเป็นทรงกระบอกที่มีขีดบอกปริมาตรและมีอุปกรณ์ควบคุมการไหลของของเหลวที่เรียกว่า ก๊อกปิดเปิด ขวดกำหนดปริมาตรเป็นอุปกรณ์สำหรับวัดปริมาตรของของเหลวที่บรรจุอยู่ภายในใช้สำหรับเตรียมสารละลายที่ต้องการความเข้มข้นแน่นอนมีขีดบอกปริมาตรเพียงขีดเดียวมีจุกปิดสนิทขวดกำหนดปริมาตรมีหลายขนาด

การใช้อุปกรณ์วัดปริมาตรเหล่านี้ให้ได้ค่าที่น่าเชื่อถือ จะต้องมีการอ่านปริมาตรของของเหลวให้ถูกวิธี โดยต้องให้อยู่ในระดับสายตา
1.3.2 อุปกรณ์วัดมวล
เครื่องชั่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวัดมวลทั้งที่เป็นของแข็งและของเหลวความน่าเชื่อถือของค่าวัดมวลที่ได้ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องชั่งและวิธีการใช้เครื่องชั่ง เครื่องชั่งมี 2 แบบแบบเครื่องชั่งสามคานและเครื่องชั่งไฟฟ้า

เครื่องชั่งสามคาน


เครื่องชั่งไฟฟ้า
1.3.3 เลขนัยสำคัญ
การนับเลขนัยสำคัญ มีหลักการดังนี้
1.ตัวเลขที่ไม่ใช่ 0 ทั้งหมด ถือว่าเป็นเลขนัยสำคัญ
2.เลข 0 ที่อยู่ระหว่างตัวอื่นถือว่าเป็นเลขนัยสำคัญ
3.เลข ที่อยู่หน้าตัวเลขอื่นไม่ถือว่าเป็นเลขนัยสําคัญ
4.เลข 0 ที่อยู่หลังตัวเลขอื่นที่เป็นอยู่หลังทศนิยม ถือว่าเป็นเลขนัยสำคัญ
5.เลข 0 ที่อยู่หลังเลขที่ไม่มีทศนิยมอาจนับเป็นเลขนัยสำคัญ หรือไม่นับก็ได้
6.ตัวเลขที่แม่นตรงเป็นตัวเลขที่ซ้ำเข้าแน่นอนมีเลขนัยสำคัญเป็น อนันต์
7.ข้อมูลที่มีค่าน้อยมากๆหรือเขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ตัวเลข สัมประสิทธิ์ ทุกตัวนับเป็นนัยสำคัญ
การปัดตัวเลข พิจารณาจากตัวเลขที่อยู่ถัดจากตำแหน่งที่ต้องการดังนี้
1.กรณีที่ตัวเลขถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าน้อยกว่า 5 ให้ตัดตัวเลขที่ อยู่ถัดไปทั้งหมด
2.กรณีที่ตัวเลขถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่ามากกว่า 5 ให้เพิ่มค่าของตัวเลขตำแหน่งสุดท้ายที่ต้องการอีก 1
3.กรณีที่ตัวเลขถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5 และมีตัวเลขอื่นที่ไม่ใช่ศูนย์ต่อจากเลข 5 ให้เพิ่มค่าของตัวเลขตำแหน่งสุดท้ายอีก 1
4.กรณีที่ตัวเลขถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5 และไม่มีตัวเลขอื่นต่อจากเลข 5 ต้องพิจารณาตัวเลขที่อยู่ หน้าเลข 5 ดังนี้
4.1 ภาคตัวเลขที่อยู่หน้าเลข 5 เป็นเลขคี่ ให้ตัวเลขดังกล่าวบวกค่าเพิ่มอีก 1 แล้วแต่ตัวเลขตั้งแต่เลข 5 ไปทั้งหมด
4.2 หาตัวเลขที่อยู่หน้าเลข 5 เป็นเลขคู่ให้ตัวเลขดังกล่าวเป็นเลขตัวเดิมตัว แล้วแต่ตัวเลขตั้งแต่เลข 5 ไปทั้งหมด
การบวกและการลบ ในการบวกและการลบผลที่ได้จะมีจำนวนตัวเลขที่อยู่หลังจุดทศนิยมเท่ากับข้อมูลที่มีจำนวนตัวเลขที่อยู่หลังจุดทศนิยมน้อยที่สุด
การคูณและการหาร ในการคูณและการหารผลที่ได้จะมีจำนวนเลขนัยสำคัญเท่ากับข้อมูลที่มีเลขนัยสำคัญน้อยที่สุด
1.4 หน่วยวัด
การระบุหน่วยของการวัดปริมาตรต่างๆ ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นความยาวมวลอุณหภูมิอาจแตกต่างกันแต่ละประเทศ และในบางกรณี นำไปสู่ความเข้าใจผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายดังนั้นเพื่อให้การสื่อสารข้อมูลของการวัดเป็นการเข้าใจตรงกันมากขึ้นจึงมีการตกลงร่วมกันให้มีหน่วยมาตรฐานสากลขึ้น
1.4.1 หน่วยในระบบ SI
เป็นหน่วยที่ดัดแปลงจากหน่วยในระบบเมทริกซ์ โดยแบ่งเป็นหน่วยพื้นฐานมี 7 หน่วยคือ
มวล มีหน่วยเป็นกิโลกรัม อุณหภูมิ มีหน่วยเป็นเคลวิน
ความยาว มีหน่วยเป็นเมตร ปริมาตรของสาร มีหน่วยเป็นโมล
เวลา มีหน่วยเป็นวินาที กระแสไฟฟ้า มีหน่วยเป็นแอมแปร์
ความเข้มแห่งการส่องสว่าง มีหน่วยเป็นแคนเดลา
เป็นหน่วย SI อนุพันธ์อีก 3 หน่วย
ปริมาตร มีหน่วยเป็นลูกบาศก์เมตร ความเข้มข้นมีหน่วยเป็นโมลต่อลูกบาศก์เมตร
ความหนาแน่น มีหน่วยเป็นกิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
หน่วยนอกระบบ SI ในเคมียังมีหน่วยอื่นที่ได้รับการยอมรับและมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย
เช่น ปริมาตร มีหน่วยเป็นลิตร มวล มีหน่วยเป็นกรัมหรือดอลตันหรือหน่วยมวลอะตอม ความดัน มีหน่วยเป็นบาร์ มิลลิเมตรปรอท หรือบรรยากาศ
ความยาว มีหน่วยเป็นอังสตรอม พลังงาน มีหน่วยเป็นแคลอรี อุณหภูมิ มีหน่วยเป็นองศาเซลเซียส
1.4.2 แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย
เป็นอัตราส่วนระหว่างหน่วยที่แตกต่างกันสองหน่วยที่มีปริมาณเท่ากัน ตัวอย่างดังนี้
จากความสัมพันธ์พลังงาน 1 cal = 4.2 J เมื่อใช้1 cal หารทั้งสองข้างจะได้เป็น 1 cal / 1 cal = 4.2 J / 1 cal 1 = 4.2 J / 1 cal หรือถ้าใช้ 4.2 J หารทั้งสองข้างจะได้เป็น

1 cal / 4.2 J = 4.2 J / 4.2 J
1 cal / 4.2 J = 1
ดังนั้นแฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วยเขียนได้เป็น 1 cal / 4.2 J หรือ 4.2 J / 1 cal
วิธีการเทียบหน่วย
ทำได้โดยการคูณปริมาณในหน่วยเริ่มต้นด้วยแฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วยที่มีหน่วยที่ต้องการอยู่ด้านบนตามสมการ
ปริมาณและหน่วยที่ต้องการ = ปริมาณและหน่วยเริ่มต้น * หน่วยที่ต้องการ / หน่วยเริ่มต้น
1.5 วิธีการทางวิทยาศาสตร์
การทำปฏิบัติการเคมีนอกจากจะต้องมีการวางแผนการทดลองการทำการทดลองการบันทึกข้อมูลการสรุปและวิเคราะห์ข้อมูลการนำเสนอข้อมูลและการเขียนรายงานการทำการทดลองที่ถูกต้องแล้วต้องคำนึงถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีแบบแผนขั้นตอนโดยภาพรวมสามารถทำได้ดังนี้
1.การสังเกตเป็นจุดเริ่มต้นของการได้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องศึกษาโดยอาศัยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือการมองเห็นการฟังเสียงการได้กลิ่นการรับรสและการสัมผัส
2.การตั้งสมมติฐาน ในการคาดคะเนคําตอบของปัญหาหรือคำตอบของ คำถาม โดยมีพื้นฐานจากการสังเกตความรู้หรือประสบการณ์เดิมโดยทั่วไปสมมุติฐานจะเขียนอยู่ในรูปของข้อความที่แสดงเหตุ ผลหรืออีกนัยหนึ่งจะเป็นความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
3.การตรวจสอบสมมติฐานเป็นกระบวนการการหาคำตอบของสมมติฐานโดยมีการออกแบบทดลองให้มีการควบคุมปัจจัยต่างๆ
4.การรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ผลเป็นการนำข้อมูลที่ได้จากการ สังเกตการตรวจสอบสมมติฐานมารวบรวมวิเคราะห์และอธิบายข้อเท็จจริง
5.การสรุปผลเป็นการสรุปความรู้หรือข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจสอบสมมติฐานและมีการเปรียบเทียบกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ก่อนหน้า
ทั้งนี้ในการศึกษาความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่มีรูปแบบที่ตายตัวด้วยอาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับคำถามบริบท หรือวิธีการที่ใช้ในการตรวจสอบคำถาม
3 การกำจัดสารเคมี

การกำจัดสารเคมีแต่ละประเภทสามารถปฏิบัติได้ดังนี้ 1) สารเคมีที่เป็นของเหลวไม่อันตรายเป็นกลาง ปริมาณไม่เกิน 1 ลิตร สามารถเทลงอ่างน้ำได้ เลย 2) สารละลายเข้มข้นบางชนิด ควรเจือจางก่อนเทลงอ่างน้ำ 3) สารเคมีที่เป็นของแข็งไม่อันตราย ใส่ในภาชนะที่ปิดมิดชิด ก่อนทิ้งในที่จัดเตรียมไว้ 4) สารไวไฟ สารประกอบของโลหะเป็นพิษห้ามทิ้งลงอ่างน้ำ
1.2 อุบัติเหตุจากสารเคมี
ในการทำปฏิกิริยาเคมีต่างๆจากการใช้สารเคมีได้ ซึ่งหากผู้ทำการปฏิบัติการมีความรู้ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จะสามารถลดความรุนแรง แล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เบื้องต้นจากอุบัติเหตุจากการใช้สารเคมี มีข้อปฏิบัติดังนี้
การปฐมพยาบาลเมื่อร่างกายสัมผัสสารเคมี
1.ถอดเสื้อผ้าบริเวณที่เปื้อนสารเคมีออก และใช้สารเคมีออกจากร่างกายให้มากที่สุด
2.กรณีที่เป็นสารเคมีที่ละลายน้ำได้ให้ล้านบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยการเปิดน้ำไหลผ่านในปริมาณมาก
3.กรณีเป็นสารเคมีที่ไม่ละลายน้ำ ให้ร้านบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยน้ำสบู่
4.อยากทราบว่าสารเคมีที่สัมผัสร่างกายคือสารใด ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในเอกสารความปลอดภัยของสารเคมี
กรณีที่นั่งการสัมผัสสารเคมีในปริมาณมากหรือมีความเข้มข้นสูงให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วนำส่งแพทย์
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
ตะแคงศีรษะให้ตาด้านที่สัมผัสสารเคมีอยู่ด้านล่างรายการเปิดน้ำเบาเบาๆไหลผ่านดั้งจมูก ให้น้ำไหลผ่านตาข้างที่โดยสารเคมีพยายามลืมตาและขอบตาในน้ำอย่างน้อย 10 นาทีหรือจนกว่าจะแน่ใจว่าฉันล้างสารออกหมดแล้ว ระวังไม่ให้น้ำเข้าตาอีกข้างหนึ่งและนำส่งแพทย์ในทันที


การปฐมพยาบาลเมื่อสูดดมแก๊สพิษ

        1.เมื่อมีแก๊สพิษเกิดขึ้น ต้องรีบออกจากบริเวณในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกทันที 
        2.หากมีผู้ที่สูดดมแก๊สผิดจนหมดสติหรือไม่สามารถช่วยตนเองได้ ต้องลิ้มเคลื่อนย้ายออกจากบริเวณนั้นทันที โดยที่ผู้ช่วยเหลือต้องส่งอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมเช่นหน้ากากป้องกันแก๊สพิษหรือผ้าปิดปาก 
        3.ปลดเสื้อผ้า เพื่อให้ผู้ประสบอุบัติเหตุหายใจได้สะดวกถ้าหมดสติให้จับนอนคว่ำแล้วตะแคงหน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันโคลน กีดขวางทางเดินหายใจ
การปฐมพยาบาลเมื่อโดนความร้อน
         แช่น้ำเย็นหรือปิดแผลด้วยผ้าชุบน้ำจนกว่าจะหายปวดแสบปวดร้อนและทายาขี้ผึ้งสำหรับไฟไหม้และน้ำร้อนลวก ถ้าเกิดบาดแผลใหญ่ให้นำส่งแพทย์ 
กรณีที่สารเคมีเข้าตาให้ปฏิบัติตามคำแนะนำตามเอกสารความปลอดภัยแล้วนำส่งแพทย์ทุกกรณี

2ข้อควรปฎิบัติในการทำปฎิบัติการเคมี

ก่อนทำปฏิบัติการ 1) ศึกษาขั้นตอนวิธีการให้เข้าใจ 2) ศึกษาข้อมูลของสารเคมีและเทคนิคเครื่องมือต่างๆ 3) แต่งกายให้เหมาะสม ขณะทำปฎิบัติ 1) ข้อปฏิบัติโดยทั่วไป 1.1 สอบแว่นตานิรภัยสมรักษ์ห้องปฏิบัติการและสวมผ้าปิดปาก 1.2 ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติการ 1.3 ไม่ทำการทดลองเพียงคนเดียว 1.4 ไม่เล่นขณะที่ ทำปฏิบัติการ 1.5 ทำ ตามขั้นตอนและวิธีการอย่างเคร่งครัด 1.6 ไม่ปล่อยให้อุปกรณ์มีความร้อน 2) ข้อปฏิบัติในการใช้สารเคมี 2.1 อ่านชื่อสารให้แน่ใจก่อนนำไปใช้ 2.2 เคลื่อนย้ายสารเคมีด้วยความระมัดระวัง 2.3 หันปากหลอดทดลองจากตัวเองและผู้อื่นเสมอ 2.4 ห้ามชิมสารเคมี 2.5 ห้ามเทน้ำลงกรดต้องให้กรดลงน้ำ 2.6 ไม่เก็บสารเคมีที่เหลือเข้าขวดเดิม 2.7 ทำสารเคมีหกให้เช็ด หลังทำปฏิบัติการ 1) ทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ 2) ก่อนออกจากห้องให้ถอดอุปกรณ์ป้องกันอันตราย

ความปลอดภัยและทักษะในการปฎิบัติการเคมี

1.1 ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี
การทำปฏิบัติการเคมีส่วนใหญ่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับสารเคมีอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ซึ่งผู้ทำการปฏิบัติการต้องตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมโดยผู้ทำการปฏิบัติการควรทราบเกี่ยวกับประเภทของสารเคมีที่ใช้ข้อควรปฏิบัติในการทำการปฏิบัติการเคมีและการกำจัดสารเคมีที่ใช้แล้วหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติการเพื่อให้สามารถทำปฏิบัติการเคมีได้อย่างปลอดภัย
1.1.1 ประเภทของสารเคมี
สารเคมี มีหลายประเภทแต่ละประเภทก็จะแตกต่างกันออกไป สารเคมีจึงจำเป็นต้องมีฉลากที่มีข้อมูลเกี่ยวกับความอันตรายของสารเคมีเพื่อความปลอดภัยในการจัดเก็บ โดย ฉลากของสารเคมีที่ใช้ในห้องปฏิบัติการควรมีข้อมูลดังนี้ 1 ชื่อผลิตภัณฑ์
2 รูปสัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายของสารเคมี
3 คำเตือนข้อมูลความเป็นอันตรายและข้อควรระวัง
4 ข้อมูลของบริษัทผู้ผลิตสารเคมี



บนฉลากบรรจุภัณฑ์จะมีสัญลักษณ์ แสดงความเป็นอันตราย ที่สื่อความหมายได้ชัดเจนในที่นี้จะกล่าวถึงสองระบบ ได้แก่ Globally Harmonized System of classification and labelling of chemicals (GHS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สากล และ National fire protection association hazard identification system (NFPA) เป็นระบบที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา


สำหรับ สัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายในระบบ NFPA จะ ใช้สีแทนความเป็นอันตรายในด้านต่างๆได้แก่สีแดง แทนความไวไฟ สีน้ำเงินแทนความเป็นอันตรายต่อสุขภาพสีเหลืองแทนความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยเศษตัวเลข 0-4 เพื่อระบุระดับความเป็นอันตรายจากน้อยไปหามากและช่องสีขาวใช้ใส่อักษรหรือสัญลักษณ์ที่แสดงสมบัติที่เป็นอันตรายด้านอื่นๆ

News15

พบน้ำดื่มบรรจุขวดกว่า 90% 

มีไมโครพลาสติกปนเปื้อน

พบน้ำดื่มบรรจุขวดกว่า 90% มีไมโครพลาสติกปนเปื้อน

องค์การอนามัยโลก (WHO) สั่งทดสอบความเสี่ยงที่อาจเกิดจากพลาสติก หลังจากการตรวจสอบล่าสุดพบว่า น้ำดื่มบรรจุขวดชื่อดังหลายยี่ห้อกว่า 90% มีชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กที่เรียกว่าไมโครพลาสติกปะปนอยู่ในขวด
โดยการวิจัยครั้งนี้ ได้ทำการสุ่มกรวดน้ำดื่มชื่อดัง 11 ยี่ห้อ จำนวน 259 ขวด จาก 19 พื้นที่ ใน 9 ประเทศ อันประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา จีน บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก เลบานอน เคนยา และไทย
ผลการตรวจสอบพบว่า โดยน้ำดื่มโดยเฉลี่ยมีปริมาณไมโครพลาสติกปะปนอยู่ที่ 325 เม็ดต่อปริมาณน้ำหนึ่งลิตร  ยี่ห้อที่มากที่สุดมีปริมาณไมโครพลาสติกปะปนอยู่ถึง 10,000 เม็ด โดยหลังจากตรวจสอบน้ำดื่มทั้ง 259 ขวดแล้ว พบว่ามีเพียง 17 ขวดเท่านั้น ที่ไม่มีไมโครพลาสติกปะปนอยู่
นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยกล่าวว่า อนุภาคพลาสติกที่พบในน้ำดื่มบรรจุขวดเหล่านี้ มีปริมาณมากกว่าที่เคยตรวจพบในน้ำประปาถึงประมาณสองเท่า
สำหรับชนิดของพลาสติกที่ถูกตรวจพบนั้น ส่วนใหญ่เป็นโพลีโพรพิลีน (Polypropylene) ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดที่นำมาใช้ทำฝาบรรจุขวดนั่นเอง  
สำหรับเรื่องนี้โฆษกขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวจาก The Guardian ว่า  แม้ในขณะนี้จะยังไม่มีรายงานถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกที่มีต่อร่างกายมนุษย์ แต่ทาง WHO ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้มีการจัดตั้งทีมค้นคว้าวิจัย เพื่อศึกษาถึงความเสี่ยงของเรื่องนี้อย่างรอบด้านแล้ว

News14

เตือน! น้ำแข็งกระสอบ 
เสี่ยงสารปนเปื้อน-ท้องร่วง

เตือน! น้ำแข็งกระสอบ เสี่ยงสารปนเปื้อน-ท้องร่วง

บ้านเราอากาศร้อนตลอดเวลาแบบนี้ หลายคนเลยเลือกที่จะสั่งน้ำดื่มเย็นๆ แช่น้ำแข็งมาดื่มให้ชื่นใจ ไม่ว่าจะน้ำอัดลม ชา กาแฟ ไปจนถึงน้ำผลไม้ปั่นต่างๆ ล้วนมีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น แต่หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาว่า น้ำแข็งในบ้านเราไม่ค่อยสะอาด ทำให้ใครหลายคนท้องเสียท้องร่วงกันมานักต่อนักแล้ว โดยเฉพาะต่างชาติ

ทำไมน้ำแข็งถึงอันตราย?
ปัจจุบันน้ำแข็งพบสารปนเปื้อน สิ่งแปลกปลอม ทั้งจากโรงงานที่ผลิต และระหว่างการขนส่ง เนื่องจากแหล่งผลิตน้ำแข็งในบ้านเราบางแห่งยังไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นจึงพบว่าผู้บริโภคบางคน พบสิ่งแปลกปลอมในน้ำแข็ง หรือที่ร้ายกว่านั้น อาจจะพบเชื้อจุลินทรีย์ที่เข้าไปเพาะพันธุ์อยู่ในน้ำแข็งจากรอยรั่วของกระสอบน้ำแข็ง การลากกระสอบน้ำแข็งกับพื้น และร้านอาหารหลายร้านเลือกที่จะเอาน้ำแข็งมาแช่ของสด เช่น หมู ไก่ ผัก รวมไปถึงเต้าหู้ และอาหารอื่นๆ ก่อนที่จะนำน้ำแข็งในนั้นมาใส่แก้วเสิร์ฟเราที่โต๊ะ นี่ยังไม่รวมร้านอาหารข้างทางที่ให้ลุกไปตักน้ำแข็งฟรีนะ
น้ำแข็งชนิดไหน อันตราย ควรเลี่ยง?

น้ำแข็งที่พบการปนเปื้อนมากที่สุด หนีไม่พ้นน้ำแข็งป่นละเอียด ก้อนเล็กๆ ขนาดไม่ค่อยจะเท่ากัน น้ำแข็งแบบนี้ทำมาจากน้ำแข็งก้อนใหญ่ ที่เราอาจจะเคยเห็นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ที่นำมาใสน้ำแข็ง น้ำแข็งแบบนี้มีทั้งแบบซื้อจากแหล่งผลิต และน้ำแข็งทำเอง แต่แบบที่เสี่ยงการปนเปื้อนมากที่สุด เป็นน้ำแข็งป่นที่มาจากโรงงาน เพราะกระบวนการป่นน้ำแข็ง เครื่องจักร ใบมีด อุปกรณ์เหล่านี้มักไม่มีความสะอาดเพียงพอ อาจพบสนิม ตะไคร่ ฝุ่นผงต่างๆ และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ได้ง่าย นอกจากนี้เมื่อป่นน้ำแข็งเสร็จ กระบวนการขนส่งในการขนใส่กระสอบพลาสติก มักพบว่ามีคราบ ดิน ฝุ่นผง และอื่นๆ เข้าไปปนเปื้อนในกระสอบ และน้ำแข็งป่นนี่แหละ ที่เหล่าแม่ค้าพ่อค้ามักนำมาแช่ของสดในตู้น้ำแข็ง

News13

"บุหรี่ไฟฟ้า" ทางเลือกใหม่ของสิงห์อมควัน! กับอันตรายที่ไม่แพ้บุหรี่ธรรมดา

"บุหรี่ไฟฟ้า" ทางเลือกใหม่ของสิงห์อมควัน! กับอันตรายที่ไม่แพ้บุหรี่ธรรมดา

เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขสหรัฐฯ Vivek Murphy เตือนถึงอันตรายของการสูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า บุหรี่ไฟฟ้านอกจากจะให้สารนิโคตินเเก่ผู้สูบเเล้ว ยังปล่อยควันที่มีสารพิษออกมาหลายชนิดด้วย ไม่ว่าจะเป็นสารตะกั่ว สารนิกเกิล และสารไดอะเซทิล
เเม้ว่าผู้ผลิตจะอ้างว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ไร้ควันก็ตาม
Surgeon General แห่งสหรัฐฯ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ชาวอเมริกันจำเป็นต้องเข้าใจว่า บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์มีอันตรายต่อเด็กวัยรุ่นและคนในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เช่นเดียวกับผลเสียที่มาจากการสูบบุหรี่หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดอื่นๆ
บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เป็นนวัตกรรมใหม่ที่บริษัทยาสูบคิดค้นขึ้นมาขายแก่นักสูบบุหรี่ โดยอ้างว่าไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ มีลักษณะเป็นแท่งคล้ายบุหรี่แต่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ปลายหนึ่งเป็นช่องเหมือนไปป์สำหรับดูด อีกปลายเป็นหัวมีหลอดไฟให้แสงสีแดงหรือสีเขียวแล้วแต่ยี่ห้อ
ตรงกลางตัวเครื่องทำความร้อนให้สารนิโคตินเหลวกลายเป็นไอระเหย หลอดน้ำยาเมื่อหมดสามารถซื้อมาเติมใหม่ได้ การสูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ทำให้ได้สารนิโคตินเข้าสู่ร่างกาย โดยมีการกล่าวอ้างว่า เนื่องจากไม่มีเขม่าควัน ไม่มีกลิ่น ไม่มีสารก่อมะเร็ง จึงเป็นบุหรี่ที่สูบแล้วไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ
สำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามขายอุปกรณ์สูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ให้เเก่เด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 18 ปีตั้งเเต่ต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อเเห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ผู้ผลิตบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ขายบุหรี่ชนิดนี้เเก่เด็กวัยรุ่นโดยมีการคิดค้นกลิ่นและรสที่ดึงดูดใจ และใช้ยุทธวิธีทางการตลาดเน้นว่าเป็นของทันสมัย จนได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่น
Surgeon General แห่งสหรัฐฯ Vivek Murphy ชี้ว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้สารนิโคตินรวมถึงบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ล้วนเป็นอันตรายต่อวัยรุ่น หญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ เขากล่าวว่าคนยังสับสนในเรื่องประเด็นความปลอดภัยของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์กันอยู่
Vivek Murphy ชี้ว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์มีคนใช้น้อยมากในปี ค.ศ. 2010 แต่มาในปัจจุบันมีคนใช้กันอย่างเเพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นในสหรัฐฯ เขากล่าวว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์คุกคามต่อความคืบหน้าที่ได้มาอย่างยากเย็นเเสนเข็ญ จากความพยายามลดการสูบบุหรี่ที่ต่อสู้กันมานานถึง 50 ปี
ทางการสหรัฐฯ ออกรายงานเมื่อปี ค.ศ. 2015 ว่านักเรียนระดับมัธยมปลายในอเมริกาอย่างน้อย 1 ใน 6 คนได้สูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ในช่่วงหนึ่งเดือนก่อนการสำรวจ
รายงานชิ้นดังกล่าวของทางการสหรัฐฯ พบว่า ในขณะที่สารนิโคตินเป็นสารเสพติดที่เลิกยากสำหรับคนทุกระดับอายุ เด็กวัยรุ่นเเละคนวัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นกลุ่มที่เสี่ยงสูงมากต่อผลเสียในระยะยาวจากสารนิโคตินที่มีต่อสมอง
จึงสรุปว่าการเสพสารนิโคตินในกลุ่มวัยรุ่นในทุกรูปแบบเป็นล้วนอันตรายทั้งสิ้น
ด้านสมาคมเเพทย์เด็กอเมริกันสะท้อนความคิดเห็นเดียวกันนี้ โดยด็อกเตอร์ Benard Dreyer ประธานสมาคม กล่าวในงานเเถลงข่าวว่าเมื่อเร็วๆ นี้ว่า สารนิโคตินเป็นสารเสพติดที่เลิกยากมาก และมีอันตรายต่อสมองและระบบประสาท เขากล่าวว่าเป็นไปได้ว่าบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์จะทำให้คนรุ่นต่อไปติดสารนิโคติน และจะเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญ

News12

“ไข่เยี่ยวม้า” ปลอดภัย หรือปนเปื้อนสารตะกั่ว

“ไข่เยี่ยวม้า” ปลอดภัย หรือปนเปื้อนสารตะกั่ว

ไข่เยี่ยวม้า คืออะไร?

ไข่เยี่ยวม้าเป็นผลผลิตจากการการถนอมอาหารประเภทไข่อย่างหนึ่ง เหมือนกับการทำไข่เค็มที่นำไปดองเกลือ แต่สำหรับไข่เยี่ยวม้า จะทำการถนอมอาหารด้วยการพอกด้วยปูนขาวผสมใบชา เกลือป่น และขี้เถ้าที่นวดด้วยน้ำเย็น หรืออีกวิธีหนึ่งคือ นำไปแช่ในน้ำที่มีส่วนผสมของสารละลายเบส ที่มีปูนขาว เกลือ โซดาแอช ชาดำ และสังกะสีออกไซด์
นอกจากสูตรดังกล่าว ผู้ผลิตบางรายอาจมีสูตรทำแตกต่างจากนี้ได้เล็กน้อย

ไข่เยี่ยวม้า อันตราย?

ปัจจุบันมีพ่อค้าแม่ค้าบางรายที่แอบใช้สารตะกั่วออกไซด์ หรือซัลไฟด์ลงในส่วนผสมที่ใช้พอกหรือแช่ เพื่อช่วยให้ไข่กลายเป็นไข่เยี่ยวม้าได้เร็ว และเห็นผลมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไข่เยี่ยวม้าที่ผลิตมีสารตะกั่วปนเปื้อนได้

อันตรายจากสารตะกั่วในไข่เยี่ยวม้า

หากเราทานอาหารที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนอยู่บ่อยๆ อาจทำให้มีอาการท้องผูก และส่งผลต่อการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ไขกระดูก ระบบประสาท ไต หรืออาจเลยไปถึงกล้ามเนื้อกระดูกข้อมือ ข้อเท้า ที่อาจเกิดอาการอัมพาต หรือสมองบวม ชัก และอาจถึงเสียชีวิตได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้รับสารตะกั่วปนเปื้อนในอาหารนานนับเดือน ดังนั้นหากไม่ได้ทานไข่เยี่ยวม้าที่ปนเปื้อนสารตะกั่วอยู่เป็นประจำ ก็พอจะวางใจได้ว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากนัก 

วิธีสังเกต ไข่เยี่ยวม้า ปนเปื้อนสารตะกั่วหรือไม่?

วิธีสังเกตสารตะกั่วปนเปื้อนอย่างง่ายๆ คือสังเกตที่ไข่ขาว ว่ามีสีดำมากเกินไปหรือไม่ อาจจะเป็นลักษณะสีดำขุ่น ไม่ใช่สีน้ำตาลเข้มใสๆ อย่างที่เคยเห็นกัน ถ้าผิดสังเกตแบบนี้ขอให้สันนิษฐานว่าเป็นไข่เยี่ยวม้าที่ปนเปื้อนสารตะกั่วจากขั้นตอนการทำไข่เยี่ยวม้า

ทานไข่เยี่ยวม้าอย่างไรถึงจะปลอดภัย?

เลือกผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน และเชื่อถือได้ในเรื่องของคุณภาพ ลักษณะของไข่ไข่ขาวจะต้องเป็นสีน้ำตาลใส ไม่ดำเกินไป และไม่ขุ่น นอกจากนี้ควรเลือกทานไข่เยี่ยวม้าอยากหลายๆ ผู้ผลิต เพื่อไม่ให้ได้รับสารบางอย่างติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป และสุดท้ายถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรทานไข่เยี่ยวม้าบ่อยจนเกินไป ควรเลือกทานอาหารให้หลากหลาย ไม่ทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งติดต่อกันนานเกินไป เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายเพียงพอต่อการดำเนินชีวิต

News11

อันตรายไหม? หากบังเอิญเผลอกิน “เชื้อรา” เข้าสู่ร่างกาย

อันตรายไหม? หากบังเอิญเผลอกิน “เชื้อรา” เข้าสู่ร่างกาย

“ขนมปังที่เพิ่งจะซื้อมา ขึ้นราเสียแล้ว” เรื่องแบบนี้ เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่อากาศทั้งร้อน ทั้งชื้น ถ้าเห็นก่อนว่าขนมชิ้นนั้นมันขึ้นรา แล้วก็ทิ้งมันไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ากินเข้าไปจนจะหมดแล้ว ค่อยมาเห็นทีหลังนี่สิ เอามาเพ่งดู ยิ่งเพ่งก็ยิ่งเห็นชัด ว่ามันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเชื้อราอย่างเดียวเท่านั้น แล้วที่นี่จะทำอย่างไร
Omar Oyarzabal ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารของมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ แนะนำว่า เราต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานขนมปัง และอาหาร ที่มีลักษณะเหมือนมีเชื้อราติดอยู่ แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคของอาหารที่ต่างก็ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อมาสารพัด แตก็ยังมีโอกาสที่เราจะพบเชื้อราในอาหารได้ หากสังเกตเห็นว่าขนมปัง มีจุดเล็กๆ ที่อาจจะเป็นเชื้อรา ให้ทิ้งมันไปทั้งชิ้นเลย
เพราะเชื้อรานั้น จะมีลักษณะเป็นเส้นๆ เหมือนเส้นผมที่เล็ก และบางมาก มันมีราก และแผ่ขยายออกไปแม้ในพื้นผิวที่เรามองไม่เห็น ดังนั้น หากพบเชื่อราเพียงจุดเล็กๆ 1 จุด บนชิ้นขนมปัง ก็ให้โยนมันทิ้งไปให้หมดทั้งก้อน และการจะหลีกเลี่ยงการกินเชื้อรา ก็ทำได้วิธีเดียวคือ สังเกตอย่างรอบคอบ

แต่หากเราเผลอกินอาหารที่มีเชื้อราเข้าไปเรียบร้อยแล้ว จะทำอย่างไรต่อดี?

เชื้อราบนขนมปัง นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นอันตรายมากนัก บางคนกังวลมากว่า เชื้อราเป็นสารพิษ และยังก่อให้เกิดอาการแพ้ แต่เชื่อหรือไม่ เชื้อราธรรมดาๆ ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า เพนิซิลเลี่ยม ที่เป็นราเขียวๆ บนขนมปัง เรานำมาใช้ทำยาปฏิชีวนะที่ชื่อว่า “เพนิซิลิน” แต่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้เชื้อรา แล้วบังเอิญกินเข้าไป อาจเป็นอันตรายได้ อาการแพ้อาจรุนแรงถึงขั้นความดันตก หายใจลำบาก ไปจนถึงหัวใจล้มเหลวเลยทีเดียว
แต่ถ้าหากไม่แพ้ และเผลอกินเชื้อราเข้าไป ก็ไม่ต้องตื่นตกใจ เพราะเชื้อราจะทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ในกรณีที่กินอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเท่านั้น

เราจะหลีกเลี่ยงเชื้อราได้อย่างไรบ้าง?

1. การหมั่นสังเกต อาหารที่จะซื้อ และก่อนที่จะรับประทานเข้าไป การดม ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเชื้อราไม่มีกลิ่น และลองสังเกตตัวเอง ว่ามีอาการแพ้ต่าง ๆ เช่น คัดจมูก คัน น้ำตาไหล น้ำมูกไหล คันปาก คันจมูก จากการทานอาหารบ้างหรือไม่
2.  ควรรักษาความสะอาดภายในบ้านให้ดี เพราะนั่นเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเพี่อป้องกันเชื้อรา นอกจากนี้เชื้อราสามารถเติบโต และแพร่สปอร์ออกไปตามพื้นผิวต่างๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ดังนั้นตามตู้เย็น ผ้าเช็ดจาน ภาชนะใส่อาหาร หรือแม้กระทั่งเคาท์เตอร์ในครัว ก็อาจจะมีสปอร์ของเชื้อราเกาะอยู่ได้ จึงควรทำความสะอาดบ่อย ๆ
3. เชื้อราเติบโตได้ดีในที่ที่มีความชื้น หากเป็นไปได้ ควรควบคุมระดับความชื้นภายในบ้าน ไม่ให้เกิน 40%
4. ควรทำความสะอาดภายในตู้เย็นบ่อยๆ อย่างน้อยเดือนหรือสองเดือนครั้ง ด้วยการนำเบกกิ้งโซดา มาละลายน้ำ แล้วเช็ดทำความสะอาด และจุดไหน ที่น่าสงสัยว่าจะมีเชื้อรา ก็ให้นำน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำ มาขัดออก ส่วนผ้าเช็ดจาน หากเริ่มมีกลิ่น ก็ให้นำไปทิ้งเสียดีกว่าจะซักมาใช้อีก เพราะนั่นอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้เชื้อราแพร่กระจายในบ้านต่อไป

News10

ระวัง! 5 ยาอันตรายขายเกลื่อนเน็ต เสี่ยงเสียชีวิต

ระวัง! 5 ยาอันตรายขายเกลื่อนเน็ต เสี่ยงเสียชีวิต

  1. ยามหัศจรรย์

ยามหัศจรรย์มาพร้อมคำโฆษณาชวนเชื่อที่มักใช้คำทำนองว่า “หายขาดแน่นอน” “วิเศษ” “ดีที่สุด”หรือแม้กระทั่ง “ผลงานวิจัยล่าสุด” แต่พอหาข้อมูลจริงๆ กลับไม่เจอ หรือไม่น่าเชื่อถือ หนำซ้ำยังมีส่วนผสมของ “สเตียรอยด์” ที่เป็นสารต้องห้าม ที่ต้องได้รับการควบคุมการใช้จากแพทย์เท่านั้นอีกด้วย
สเตียรอยด์จะออกฤทธิ์ ทำให้อาการปวดที่มีลดลง รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมาในเวลาอันสั้น จึงทำให้คนที่ทานยานั้นๆ รู้สึกว่ายาออกฤทธิ์ดี ได้ผลจริง แต่จริงๆ แล้ว หากทานยาที่มีสเตียรอยด์เข้าไปนานๆ อาจทำให้กระเพาะอาหารทะลุ ลดภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย บดบังอาการของโรค ทำให้วินิจฉัยโรคได้ยากขึ้น และหากมีอาการหนัก หัวใจอาจเต้นผิดจังหวะ หรือหยุดเต้น จนทำให้เสียชีวิตได้
  1. อาหารเสริมลดความอ้วน

มาพร้อมกับคำโฆษณาชวนเชื่อว่า “ลดจริง พิสูจน์ได้” “รับประกัน ไม่โยโย่” “กิโลภายใน 1 อาทิตย์” หรือ “ดื้อยาก็ลดได้” จริงๆ แล้วส่วนใหญ่มักใส่สารไซบูทรามีน ที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง ทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหาร แต่เมื่อทานไซบูทรามีนติดต่อกันนานๆ จะทำให้เกิดอาการติดยา ประสาทหลอน ไตวาย ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดตีบตัน จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ 
  1. อาหารเสริมเร่งผิวขาว

มาพร้อมกับคำโฆษณายั่วเงินในกระเป๋าของคุณผู้หญิงหลายคนที่อยากขาวว่า “ขาวออร่า” “ขาวอมชมพู” “14 วัน ขาว เนียน ใส ไรฝ้า” “สวยขาวจากภายในสู่ภายนอก” จริงๆ แล้วอาหารเสริมประเภทนี้ส่วนใหญ่มักลักลอบใส่ยาที่มีฤทธิ์ห้ามเลือด โดยนำผลข้างเคียงของมาใช้รักษาฝ้า หรือทำให้ผิวขาวขึ้น ทั้งที่ยังไม่มีผลวิจัยยืนยันอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ หากทานติดต่อกันนานๆ อาจมีอันตรายทำให้เกิดลิ่มเลือด จนอุดตันเส้นเลือดต่างๆ ในร่างกาย หากลิ่มเลือดไปอุดตันที่ปอด อาจทำให้หายใจไม่ออก หรือหากลิ่มเลือดไปอุดตันที่เส้นเลือดในสมอง ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
  1. ครีมทาสิว ฝ้า หน้าขาว

มาพร้อมกับโฆษณาว่า “ขาวจริงใน วัน” “ขาวใสขั้นเทพ” หรือ “ขาวจริง ขาวไว” ที่ขาวได้ขนาดนี้ เพราะผู้ผลิตมักลักลอบผสมสารอันตรายเข้าไปหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นไฮโดรควิโนน ปรอทแอมโมเนีย สเตียรอยด์ กรดวิตามินเอ ที่ทำให้หน้าขาวเร็ว แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ ผื่นขึ้น สิวบุก ผิวหน้าลอก ไวต่อแสงเกินไป จนหน้าพังถาวรได้
  1. อาหารเสริมสมรรถภาพทางเพศ

มาพร้อมคำโฆษณาที่ยั่วกิเลสท่านชายว่า “ใหญ่ยาว เพิ่มขนาด” “อึด ทน นาน” หรือ “ทำจากสมุนไพรธรรมชาติ” แต่ความเป็นจริงแล้วลักลอบผสมซิลเดนาฟิล ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ หน้าแดง มึนงง เกิดอาการช็อก หัวใจวายเฉียบพลัน และอาจเสียชีวิตได้
นอกจากนี้กลุ่มยาแก้ไอ แก้ปวด แก้แพ้ ที่ลักลอบขายอย่างผิดจุดประสงค์ คือ ขายยาเพื่อใช้เสพเป็นของมึนเมา โดยมาพร้อมโฆษณาว่า “เมาง่าย” “ราคาไม่แพง” “ไม่ขม” “ไม่ใช่ยาเสพติด ฉี่ไม่ม่วง” หรือ “ครูไม่รู้ ตำรวจไม่จับ” เช่น ยาทรามาดอลทานร่วมกับยาน้ำเชื่อมแก้แพ้ แก้ไอ หรือที่เรียกว่า “ยาโปร” จะส่งผลต่อสุขภาพทั้งระยะสั้น และระยะยาว และเกิดการเสพติดได้
ผลร้ายต่อร่างกาย คือ หากทานเป็นเวลานาน จะเกิดอาการประสาทหลอน ระบบประสาททำงานช้าลง และหากได้รับยาเกินขนาด อาจทำให้ชัก เกร็ง กล้ามเนื้อกระตุก หัวใจหยุดเต้น จจนอาจเสียชีวิตได้
ทางที่ดีคือ ก่อนซื้อยาทาน ควรปรึกษาเภสัชกรทุกครั้ง และหากมีอาการเจ็บป่วย ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง อยากลดน้ำหนัก ต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย อยากขาวต้องใช้ครีมกันแดด และอย่าใช้ยาผิดประเภท จะได้ไม่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตก่อนวัยอันควร

News9

อันตรายของไนโตรเจนเหลว เมื่อนำมาประกอบอาหาร

อันตรายของไนโตรเจนเหลว เมื่อนำมาประกอบอาหาร

ไนโตรเจนเหลว คืออะไร?
ไนโตรเจนเหลว เป็นสารเคมีที่มีจุดเดือดที่ -192 องศาเซลเซียส ถูกนำมาใช้อย่างหลากหลาย เช่น เป็นตัวทำความเย็นให้กับคอมพิวเตอร์ ใช้ในทางการแพทย์ ขจัดผิวหนังที่ไม่เป็นที่ต้องการ กำจัดหูด หรือเซลล์มะเร็งในระยะเริ่มแรก รวมทั้งใช้ในสภาวะที่ต้องการความเย็นอย่างมาก เพราะในทางวิทยาศาสตร์พบว่า ไนโตรเจนเหลวช่วยให้วัตถุมีอุณหภูมิที่เย็นลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
 ไนโตรเจนเหลว ในวงการอาหาร
ปัจจุบัน มีการนำไนโตรเจนเหลวมาใช้แช่แข็งอาหาร และเครื่องดื่มกันมากขึ้น โดยเฉพาะในร้านอาหารขนาดใหญ่ หรือภัตตาคารตามโรงแรม เพราะมันสามารถทำให้อาหารแข็งได้ทันทีทันใด โดยหลักมักนำมาใช้กับการปรุงอาหารประเภทของหวาน และเครื่องดื่ม เช่น ไอศกรีม และคอกเทล แต่นอกจากนี้ ด้วยคุณสมบัติของไนโตรเจนเหลว ยังมีพ่อครัวนำเสนอเมนูทั้งของคาวของหวานกันอย่างมากมาย เช่น ไข่คนไนโตร ไนโตรคาราเมลป๊อบคอร์น ไอศกรีมพายฟักทอง และอื่นๆ
 อันตรายของไนโตรเจนเหลว
ศาสตราจารย์ Peter Barham จากโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัย Bristol กล่าวว่า ไนโตรเจนเหลวนี้ จริงๆ แล้ว เมื่อเป็นก๊าซไนโตรเจน ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไรมาก การนำไนโตรเจนมาทำให้เป็นของเหลว ต้องนำไปไว้ในที่มีอุณหภูมิต่ำ แต่เมื่อนำมาใช้งาน ต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะไนโตรเจนเหลวมีอุณหภูมิที่เย็นจัดมาก และถ่ายทอดความเย็นบนสิ่งที่สัมผัสอย่างรวดเร็ว จึงอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ หากใช้อย่างไม่เหมาะสม เช่น หกรดบนมือ บนเท้าโดยตรง เป็นต้น
ไนโตรเจนเหลว อันตราย ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส
จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบความเสี่ยงเนื่องจากสารดังกล่าว ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรส หากนำไปวางไว้ไม่ถูกที่ อาจก่อให้เกิดความสับสนได้ หรือหากทำหก ก็สามารถทำอันตรายได้โดยไม่ได้ตั้งใจเช่นเดียวกัน โดยเมื่อปี 1999 เคยมีพนักงานในห้องปฏิบัติการที่ต่างประเทศท่านหนึ่ง เสียชีวิตด้วยอาการหายใจไม่ออกจากการใช้ไนโครเจนเหลว
ไนโตรเจนเหลว สามารถขยายตัวออกมาในสัดส่วนที่มาก ไนโตรเจนเหลว 1 ลิตร สามารถกลายเป็นก๊าซไนโตรเจนได้ถึง 700 ลิตร ดังนั้นหากมีของเหลวในอยู่ในห้องในปริมาณไม่เหมาะสม ก็อาจเกิดอันตรายได้
สำหรับการนำมาใช้ทำอาหารนั้น ศาสตราจารย์ Barham กล่าวว่า จะไม่เป็นปัญหาใดๆ หากมีการดูแลความปลอดภัย เช่นหากมีการเติมไนโตรเจนเหลวลงไปในของเหลวที่เป็นส่วนผสมของไอศกรีม มันก็จะเย็นอย่างรวดเร็ว และเดือดออกไปเหลือเพียงแค่เกร็ดไอน้ำ ซึ่งทางร้านอาหาร มักจะใช้เวลาทำไอศกรีมแบบเร่งด่วน แต่ทั้งนี้ หากมีใครดื่มของเหลวนี้เข้าไปเพราะความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นน้ำ หรือน้ำมัน ร่างกายจะไม่สามารถย่อยไนโตรเจนเหลวนี้ได้
 หากเผลอกินไนโตรเจนเหลวเข้าไป จะเป็นอย่างไร?
John Emsley นักวิทยาศาสตร์ของ Royal Society of Chemistry กล่าวว่า การกลืนกินสารนี้เข้าไป มีผลเสียอย่างร้ายแรง หากดื่มเข้าไปมากกว่าสองสามหยด หรือประมาณ 1 ช้อนชา มันจะแข็งตัว และกลายเป็นของแข็ง คล้ายกระจก คงต้องนึกภาพตามว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อมันเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ เมื่อมันโดนความร้อน มันจะเดือด และกลายเป็นก๊าซ และประทุอยู่ในท้องของเรา
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ไม่ปกตินัก ที่ใครจะกลืนไนโตรเจนเหลวนี้เข้าไป เพราะเมื่อมันเข้าไปอยู่ในปาก จะรู้สึกเย็นมาก และน่าจะบ้วนออกมาในทันที แต่ทาง Dr. Alex Valavanis จากสถาบัน Microwave and Photonics ของมหาวิทยาลัย Leeds เชื่อว่า เหตุที่มีข่าวว่าเด็กวัยรุ่นกลืนลงไปนั้น น่าจะเป็นเพราะมันไม่ได้รู้สึกเย็นจัดในทันที ทำให้ไม่สามารถจับความผิดสังเกตได้ ดังนั้นการนำมาใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในร้านอาหาร เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก ไม่เพียงแค่อุบัติเหตุในการกลืนกินเท่านั้น แต่ยังต้องระมัดระวังในการสัมผัสด้วยเช่นกัน

News8

อันตราย! ผักไทยพบสารเคมีตกค้างเกือบ 100% แทบทุกชนิด



ไม่ว่าจะช่วงเทศกาลกินเจ หรือช่วงปกติ การทานผักเป็นเรื่องที่เราควรทำเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี แต่ข่าวร้ายคือ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) ตรวจพบสารเคมีตกค้างจากยาฆ่าแมลงในผักสดของไทยหลายชนิด ที่เกินค่ามาตรฐานไปมาก กล่าวคืออยู่ที่ 85-100% เลยทีเดียว นับว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัว จนต่างประเทศรับไม่ได้อย่างแน่นอน

นอกจากจะเจอสารเคมีตกค้างในผักยอดนิยมของคนไทยหลายชนิดแล้ว แต่ละชนิดยังไม่ได้พบสารเคมีแค่ตัวเดียวอีกด้วย เช่น ในผักคะน้า พบสารเคมีตกค้างมากถึง 12 ชนิด มังคุด พบสารตกค้างมากถึง 20 ชนิด หรือว่าจะเป็นส้มที่พบมากถึง 21 ชนิดเช่นกัน นั่นหมายความว่าเกษตรกรใช้สารเคมีมากถึง 21 ชนิดในการปลูกส้มนั่นเอง


เคล็ดลับการล้างผักผลไม้ เพื่อลดสารพิษ ยาฆ่าแมลง สารเคมีตกค้างต่างๆ
1. ล้างผักผลไม้ด้วยด่างทับทิม ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 20-30%
2. ล้างด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชู ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
3. ล้างด้วยน้ำผสมผงฟู หรือเบกกิ้งโซดา ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%

4. ล้างผักด้วยวิธีน้ำไหล โดยแยกใบผัก กลีบผักออกมา แช่ในน้ำ 10 นาที จากนั้นหยิบใบผักขึ้นมา เปิดก็อกให้น้ำไหลผ่านผักและผลไม้ทีละใบ ทีละก้าน ถูๆ ให้สะอาดราว 2 นาที วิธีนี้ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 60-70%

News7

ข้อควรรู้ก่อนทาลิปสติก อันตรายแฝงจากสารเคมีที่พร้อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ

ข้อควรรู้ก่อนทาลิปสติก อันตรายแฝงจากสารเคมีที่พร้อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ


ลิปสติกที่จะขอกล่าวถึงสำหรับสาวๆ ในที่นี้คือลิปสติกที่ถูกเติมแต่งด้วยสีสันอันฉูดฉาด เน้นเติมเสน่ห์เรียวปากให้ดูดี ในปัจจุบันที่เครื่องสำอางชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นหนึ่งในตัวช่วยเสริมความมั่นใจให้สาวๆ ได้รู้สึกถึงความโดดเด่นของใบหน้า ทว่าในความงามนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะบางยี่ห้อปนเปื้อนอยู่ด้วยสารเคมีอันตรายที่เรามองไม่เห็น แถมสารเคมีที่สัมผัสโดนริมฝีปากอันบอบบาง  หรือบางครั้งเผลอกลืนเข้าไปสะสมในร่างกายแบบไม่รู้ตัว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวตามมาได้

ยิ่งสีสด ติดทนนาน ยิ่งเสี่ยงอันตราย!
ในยุคนี้เราจะเห็นว่ามีลิปสติกสีสันสดใสผลิตออกมามากขึ้น ยิ่งสีสดแค่ไหน ก็ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเท่านั้น แถมบางยี่ห้อยังเคลมอีกด้วยว่าเป็นลิปสติกที่สามารถติดทนอยู่กับริมฝีปากได้นานตลอดวันไม่มีหลุดในการทาเพียงแค่ครั้งเดียว หารู้ไม่ว่ามันเต็มไปด้วยสารเคมีที่ไม่ควรสัมผัสถูกผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็น สารกันบูดที่มักผสมอยู่ในเครื่องสำอางทั่วๆ ไป, พาราเบน, เมธอะคริเลท, สารตะกั่วปนเปื้อน และไตรโครซาน ฯลฯ
สารเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบฮอร์โมน เข้าไปรบกวนการทำงานของสมอง กล้ามเนื้อ และอัตราการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้จากผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นถึงความน่าวิตกว่าสารเคมีมากมายจากลิปสติกที่เข้าไปสะสมในร่างกาย จะเป็นตัวการทำให้เชื้อโรคดื้อยาปฏิชีวนะตามมา ส่งผลให้การรักษาอาการยุ่งยากและรุนแรงมากขึ้น
เมธอะคริเลท ส่วนผสมต้องห้ามในลิปสติก
เมธอะคริเลทเป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก แต่มันกลับถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของลิปสติกที่มีสีฉูดฉาด ทำให้สีหลุดลอกได้ยาก สารชนิดนี้เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปแล้ว จะส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ในระยะแรกจะแสดงอาการมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความถี่ในการทาของสาวๆ แต่ละคน ทั้งนี้อาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นสามารถพัฒนากลายเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองที่เรารู้จักกันว่าโรค SLE ได้อีกด้วย เป็นตัวการส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแปรปรวน ไวต่อสิ่งแปลกปลอมมากเกินปกติ เกิดภาวะอักเสบตามผิวหนัง หากไม่รีบทำการรักษาจะยิ่งลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของอวัยวะได้
ทางที่ดีสาวๆ ควรหลีกเลี่ยงการทาลิปสติกสีเข้ม และหันมาทาลิปมันที่ช่วยบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื่นเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เพื่อจะได้ลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตรายที่ปนเปื้อนมาพร้อมกับเม็ดสี หรืออาจจะเลือกเป็นลิปสติกสีอ่อนที่มีคุณภาพมาใช้ทดแทน เพียงเท่านี้ก็ทำให้เรียวปากของสาวๆ ดูสวยอวบอิ่มได้ไม่แพ้กันอย่างแน่นอน